ธุรกิจอาหารยุคนี้ลืมไปได้เลยครับ ธุรกิจที่จะต้องจ้างพนักงาน หลายสิบคนเพื่อจะมาทั้งเสิร์ฟ ครัว ทำความสะอาด เตรียมฯลฯ เพราะจะกลายเป็นการแบกต้นทุนด้านแรงงานมหาศาล แค่แรงงานต่างด้าว ตอนนี้เงินเดือน 12,000 ก็ไม่เอาแล้ว คิดดูว่าเราต้องมาแบกเท่าไรในแต่ละเดือน เปิดร้านแล้วรอให้ลูกค้าเข้ามาหา (ธุรกิจอาหารแบบเดิม ๆ )
ถ้าต้องจ้าง 10 คน + เรื่องปวดหัวอีกมากมาย ประกันสังคมเอย การเข้า ๆ ออก ๆ ฝึกจนเป็นแล้วก็ลาออกไปอยู่กับคู่แข่ง ฯลฯ. แต่ว่ามีคนทำได้แน่ ๆ ร้านค้าเก่าแก่ทั้งหลายที่มีชื่อเสียงสะสมมานาน รวมถึงกิจการของกลุ่มทุนใหญ่ จับลูกค้าระดับบน ราคาต่อหัวสูง กำไรสูง ก็อาจจะยังทำได้ แต่นั่นไม่ใช่เนื้อหาหลักของ dindidi.com เพราะเราเน้นธุรกิจระดับเล็กและระดับกลาง
ธุรกิจยุคนี้ Online เข้ามาเข้ามาเต็ม ๆ แล้ว พร้อมกับธุรกิจ Delivery เข้ามาแทรก ได้ทันเวลา และ ธุรกิจ food delivery เกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และ มันจะยังโตต่อไปแม้ว่าวันหนึ่ง covid-19 จะหายไปก็ตาม ตอนนี้ผู้บริโภคเป็นผู้แบกค่าขนส่งแทนหมดแล้ว และ มันก็เป็นแนวปฏิบัติที่ยอมรับกันได้
ธุรกิจที่จะอยู่รอดได้ต้องเข้าสู่ Small & Beautiful ก็คือใช้คนน้อยมาก 2-3 คนแต่ A.I, Digital และ ใช้เครื่องจักร เข้ามาช่วยในการผลิต และ เครื่องจักรสมัยนี้ราคาหลักหมื่นเองครับ ทำให้ธุรกิจ SME พอที่จะลงทุนได้ และธุรกิจก็เป็นเรื่องของ Branding ไปแล้ว คนที่มีสายป่าน มีกลยุทธ์ทางการตลาดเจ๋ง ๆ มีช่องทางการจัดจำหน่ายของตัวเอง สามารถเริ่มธุรกิจโดยใช้เวลา 3-6 เดือน โดยที่ไม่มีพื้นที่โรงงานแม้ 1 ตารางเมตร นั่นคือ ทำธุรกิจผ่านระบบ OEM หรือ การสั่งให้โรงงานผลิตให้ตาม spec ที่เราต้องการ แล้วใส่ brand ของเราเข้าไป
ในกรณีของธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม เป็นธุรกิจที่คนเข้าถึงได้ง่ายที่สุด ทำให้ง่ายที่สุด เพราะสามารถเริ่มต้นด้วยเงินทุนไม่ต้องสูง พัฒนาเสร็จก็คิดกระบวนการผลิต และ การตลาด สร้างเพจ และ marketing activities ต่าง ๆ แล้วถ้าสินค้าเข้าสู่ระบบ Delivery ได้ก็ ไปหาเช่าพื้นที่ในจุดที่ Delivery Service เข้าถึง ตรงนี้สำคัญมาก
ถ้าสินค้าดี แต่คุณไปอยู่ในโซนที่พวก delivery เข้าไปไม่ถึง หรือ มีบ้างนิดหน่อย คุณคิดผิดแล้ว เพราะต่อให้มีบ้างนิดหน่อย แต่ค่าส่งจะแพงมาก สินค้าถึงมือลูกค้าก็กลายเป็นแพงไป เพราะค่าขนส่ง เช่น 60 – 90 บาท ลูกค้าก็ไม่ไหวแล้วดังนั้นยุทธศาสตร์ในการเลือกทำเลจึงสำคัญมาก และ คนที่จะลงทุนในศูนย์การค้าขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือ ตลาดสมัยใหม่ก็ตาม
ที่สำคัญถ้าท่านอยากจะทำธุรกิจอาหารอย่างจริงจัง ในยุคนี้มันไม่มีความจำเป็นจะต้องทำเองตั้งแต่ต้นน้ำ ยันปลายน้ำแล้วครับเพราะมีคนทำครัวกลาง เตรียมอาหารเกือบสำเร็จรูป ขายให้ท่านราคาส่ง เขารับผิดชอบไปหาซื้อวัตถุดิบ เครื่องปรุง และ สูตรการปรุงเอง จนลงตัว อร่อย จากนั้นก็จัดเป็นเซ็ตไว้ให้ ขายส่งให้แก่ท่านในราคาส่ง
ในกรณีที่เป็น food kiosk น่าจะเหมากว่า พัฒนาเสร็จแล้ว สินค้าเราเจ๋งจริง ก็เปิดตัวทำการขาย วางแผนการตลาดให้ดี ใช้สื่อออนไลน์มาเป็นตัวช่วยให้ได้มากที่สุด ถ้าจำเป็นจ้างรีวิว ก็ต้องทำเพื่อให้มีตัวตนอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ พอคนติด คนมุง ก็จะมีคนมาติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์ และ เมื่อเข้าสู่กระบวนการนี้คุณคือนักธุรกิจอย่างเต็มตัวแล้ว ไม่ใช่พ่อค้า หรือ แม่ค้าอีกต่อไป สิ่งที่ต้องคิดต่อคือทำให้คนซื้อแฟรนไชส์ นำไปขายแล้วเขาได้กำไร เลี้ยงครอบครัวได้ นั่นคุณสำเร็จขั้นที่สำคัญแล้ว การจะเปิดเป็น 10 – 20 สาขาก็เป็นสิ่งที่ง่ายขึ้น จากที่เคยขายได้ 1,000 พอเปิดแฟรนไชส์ และมีคนซื้อแฟรนไชส์ไป 10 ราย เราขอกำไรแค่รายละ 300 ต่อราย (ขายเองได้ 1,000) ก็จะมีรายได้วันละ 3,000 ถือว่าไม่น้อยเลยน่ะครับ
พูดถึงร้านอาหารในกรณีที่เป็นร้านแบบนั่งทาน การที่จะหา model ที่ใช่ก็ไม่ยากไม่ง่ายเช่นกันครับ ตัวอย่างเช่นสุกี้ตี๋น้อย ใครจะคิดว่าสามารถแทรก MK เจ้าตลาดมาอย่างเงียบ ๆ จนเป็นที่พูดถึงกันทั้งบ้านทั้งเมือง เช่นกันกับโอกะจู๋ เป็นร้านภูธร ที่เข้าไปปักหมุดอยู่ กทม.ได้อย่างไม่อายใคร และ ไปโดนใจ OR ในที่สุด แต่ใช่ว่าทุก ๆ คนจะค้นพบ model ที่ใช่แบบนี้ได้ทุกคนน่ะครับ สำหรับใครที่สนใจจะเข้าสู่ธุรกิจอาหารชั่วโมงนี้ ผมแนะนำโมเดล Small & Beautiful คือถ้าเป็นร้านนั่งทานน่ะครับ
- วางระบบให้ดี พยายามให้เป็น Self Service ให้มากที่สุด เช่นมาสั่งอาหารที่ Counter สั่งแล้วจ่ายเงิน ใช้ระบบเรียกคิวแบบสั่น อาหารเสร็จก็ไปรับเอง แบบนี้ประหยัดพนักงานไปไม่ต่ำกว่า 2-3 คน
- โฟกัสคนไปอยู่ในส่วนของครัวให้เยอะสุด เพื่อให้อาหารออกได้เร็ว
- ไม่ต้องพึ่งแม่ครัวในการปรุงอาหาร ส่วนผสมทุกอย่างกำหนดมาเป๊ะ คนปรุงแค่ทำตามที่กำหนดไว้ก็ทำอาหารออกมาได้ คนไม่เคยปรุงเลยก็สามารถฝึกได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
- การจัดโต๊ะแบบ Fast Food เป็นโต๊ะเดียวให้เยอะ และเป็นโต๊ะแบบบาร์นั่งทานคนเดียวได้
- แคชเชียร์ คนเก็บโต๊ะ สามารถใช้คนคนเดียวได้ โดยยอมจ่ายค่าจ้างแพงกว่าปกติ 20%
- แยกครัวกลางออกมา ไม่จำเป็นต้องไปเช่าพื้นที่ราคาแพง ๆ มาทำครัวกลาง เตรียมอาหารให้สำเร็จ จะเห็นว่าถ้าทำ
แบบนี้ ไปเปิดที่ไหนก็จะไม่ต้องจ้างพนักงานเป็นสิบคน อาจจะเหลือไม่เกิน 5 คน ใช้พื้นที่แค่ประมาณ 50 ตารางเมตร สมมติว่าค่าเช่า ตารางเมตรละ 700 ค่าเช่าตกเดือนละ 35,000 แต่แต่วิธีการนี้จะสามารถทำเงินต่อคนมากกว่าร้านใหญ่ ๆ 100 – 200 ตารางเมตร (ค่าเช่า 70,000 – 140,000 / เดือน) ที่ใช้ระบบโบราณ ๆ ได้เลยเนื่องจากระบบที่วางไว้มันลงตัวไปหมด นี่คือธุรกิจอาหารสมัยนี้ครับ ถ้ายังทำแบบโบราณ ๆ ไม่มีพื้นที่เหลือให้ท่านทำกำไรแล้วครับ
ท่านซื้อไปก็เอาไปปรุงภายในไม่ถึง 5 นาทีก็ออกมาเสิร์ฟได้แล้ว รวดเร็ว มาก และไม่ต้องไปง้อแม่ครัวที่เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เอาแต่ใจตัวเองอีก เพราะระบบที่เขาสร้างมา ฝึกแค่ ครึ่งวันก็ปรุงได้แล้ว เพราะไม่ต้องใช้ความคิด ใช้แค่ความจำแค่นั้นเอง ท่านมีหน้าที่เลือกทำเล เลือกพนักงาน ตกแต่ง และ ทำการตลาดแค่นั้นเอง นี่เรียกกว่าเป็นการแบ่งงานกันตามความชำนาญ ต่างคนต่างได้